วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

อะไหล่ FIXED เยอะแยะมากมาย

วงล้อ Fixed Gear Wheel set Origin 8 ซี่ DT Swiss +โปรโมชั่นพิเศษ
วงล้อ rim Origin 8 attack +โปรโมชั่นพิเศษ
วงล้อ rim Origin 8 B43 +โปรโมชั่นพิเศษ
วงล้อ rim Weinmann Pegasus

Stem คอ NiTTO / Origin 8 / Deda / Unp / ViTTRA .,etc. ยังมีอีกมากครับ

Handlebar Drop-Riser NiTTO / ACOR carbon / Origin 8 / Bear bike /TiTEC / BREV.M .,etc. ยังมีอีกมากครับ

จาน Crenk Set  Sugino / Origin8 / MICHE / LASCO / BREV.M

และยังมีอีกเยอะ
สอบถามได้ครับ !!!
แวะมาเลือกชมที่ร้านก็ได้ หรืออยากได้อะไรพิเศษ สั่งให้ได้ครับ !!!

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

MASI ที่รอคอย มาแล้วครับ หมดล็อตนี้แล้วต้องรออีกถึง 4 เดือน !!!!

MASI UNO FIXED

MASI LTD

MASI Ultimate

MASI Contello

MASI UNO

MASI FIXED FLAT


การเลือกซื้อ FIXED GEAR แบบง่ายๆ คร่าวๆ

แบบสั้นๆนะครับ อาจไม่ละเอียดมาก เราก็ดูความต้องการของเราว่าเราจะเล่นแบบไหนครับ
ปั่นเล่น เล่นท่าพอสวยงามนิดหน่อยก็เอารถประเภทแนวปั่นบาร์โค้งหมอบหรือพวกบูลฮอร์น
แต่ถ้าเล่นท่าก็ต้องดูรถที่ล้อหมุนได้รอบตัว(หรือถ้ารถที่ชอบหมุนได้ไม่รอบแล้วอยากให้หมุนรอบได้ก็แก้ด้วยการใส่วงล้อ 650c หรือใส่วงล้อ 26"ของMTB) เลือกตัวถังทำจากวัสดุที่แข็งแรงเช่นโครโมลี่
มีจุดเสริมแข็งแรง รถประเภทเล่นท่าหรือTrickทริค สังเกตุง่ายๆส่วนใหญ่จะใส่ไรส์เซอร์บาร์หรือภาษาที่คนไทยเรียกกันตามลักษณะของมันคือบาร์ปีกนกเพราะจะควบคุมง่ายกว่า
พอได้ประเภทรถก็ดูตังค์เราว่ามีงบมากน้อยแค่ไหน? ศึกษาอะไหล่? ถามตัวเองว่าจริงจังไม๊ ถ้ายังไม่รู้ยืมเพื่อนขี่ก่อนครับ หรือซื้อแบบถูกๆมาลองก่อนแล้วค่อยขายต่อคนที่อยากลองคนต่อไป ถ้าแน่ใจแล้วก็เลือกซื้อดีๆไปเลยทีเดียวครับจะได้ไม่ต้องมาเปลี่ยนทีหลัง ซึ่งถ้าจริงจังแน่นอนว่าต้องแต่งเพิ่มแน่ครับ เมื่อได้งบแล้ว เลือกระหว่างสั่งประกอบหรือซื้อทั้งคันหรือเรียกกันว่าคอมพลีท หลักการเลือกง่ายๆพื้นฐานก็ดูตัวถังรถ ปัจจุบันรถฟิกวัสดุความแข็งแรงส่วนใหญ่จะทำจากโครโมลี่ครับจะเหมาะกับเล่นท่า หรือท่อแบนๆเรียวๆหรือโครงที่ทำจากอลูมินั่มอัลลอยจะเหมาะกับปั่นสวยงามเสียมากกว่าครับ ส่วนคำถามที่ว่าระหว่างประก
 
อบกับคอมพลีทเลือกอะไร ถ้ามีคอมพลีทที่ตัวถังถูกใจอะไหล่ดีแต่ไม่ถูกใจทั้งหมด100% แค่75ก็เอาเลยครับ แล้วค่อยเปลี่ยนนิดหน่อยเองราคาจะถูก แต่ถ้าจะประกอบแต่เงินยังกึ่งๆก็เลือก2ทางระหว่างเฟรม(ตัวถัง)กับอะไหล่+วงล้อครับ โดยซื้อตัวถังที่สามารถใช้อะไหล่ต่อได้ แต่...ถ้าเงินพร้อมของไม่ต้องห่วงครับ อุปกรณ์อื่นๆเช่นอุปกรณ์พวกจุดหมุนก็เลือกที่ใช้ลูกปืนซีลแบร์ริ่งหรือลูกปืนตลับตามที่คนไทยเรียกกัน พวกนี้จะทนและลื่นครับ จากนั้นแล้วก็เลือกรูปโฉมครับ อุปกรณ์อื่นๆสอบถามจากผู้ขายเลยครับ 
คอมพลีทอะไหล่ดีๆจะราคาสูงครับ แต่ถ้าเทียบกับประกอบก็จะถูกกว่าแต่ต้องใช้ของบางอย่างที่อาจไม่ถูกใจไปทุกอย่างแต่ประกอบเราสามารถสั่งได้ครับ วงล้อเล่นท่าจะเป็นพวก700cหน้ายางใหญ่หรือ26"หน้าใหญ่ครับเพราะจะทนกว่าแตกยากกว่าเวลากระแทกเล่นได้มากที่กว่าฉนั้นตอนเลือกซื้อโครงตัวถังหรือเฟรมต้องดูด้วยว่าใส่ยางได้หน้ากว้างใหญ่มากสุดแค่ไหน แต่ถ้าปั่นสวยๆก็ไม่ต้องสนใจมากนัก ถ้าพอมีตังค์ก็อาจใส่แม๊กaerospokeข้างหน้า มักไม่นิยมใส่Aerospokeที่ล้อหลังเพราะเวลาเกลียวเสียต้องเปลี่ยนทั้งวง และหนักเวลาปั่น อ้อ..หน้าใหญ่ที่ว่าหมายถึงวงล้อสามารถใส่ยางนอกหน้ากว้างใหญ่พอตามที่เราอยากใส่ไม๊ อาจดูยางด้วยนะครับว่าหาซื้อยากไม๊เวลาออกไปนอกเมืองจะซื้อมาใส่แทนได้ไม๊นะครับ ได้ขนาดยางที่ชอบก็เลือกวงล้อเลยครับ แล้วจะมีแบบvintageด้วยครับ แบบนี้จะมีรูปทรงย้อนยุค โครงตัวถังใช้วัสดุโครโมลี่double buttedคือด้านในท่อจะบางและหนาบางส่วนบางยี่ห้อจะสังเกตุเห็นได้ชัดซึ่งD.B.จะทำให้เบากว่าโครโมลี่เฉยๆแต่ยังคงความแข็งแรงเพราะผู้ผลิตท่อมีการทำheat treat คือการทำให้เหล็กร้อนเพื่อเรียงโมเลกุลของเหล็ก อธิบายง่ายๆก็เหมือนการตีดาบให้ได้ดาบที่แข็งก็ต้องหลอมไฟแล้วตีจนแบนแล้วก็หลอมไฟเพื่อให้เหล็กแข็ง ที่อธิบายไปเป็นพื้นฐานที่นำไปประกอบการซื้อซึ่งต้องสอบถามจากผู้ขายถึงความพิเศษจำเพาะของสินค้า เพราะที่อธิบายไปยังไม่ละเอียดทุกจุดเพราะยังคงมีอีกเยอะที่ยังไม่ได้พูดถึงและบางจุดก็อธิบายแบบคร่าวๆครับ ส่วนใหญ่ยืดหยุ่นได้ไม่ได้มีกฎตายตัวอะไรมากครับ ถ้ามีโอกาสและมีพี่ๆเพื่อนๆน้องๆอยากทราบจุดไหนมาก จะมาอธิบายให้ละเอียดครับ ถ้าผมไม่ทราบก็จะหาข้อมูลมาตอบให้ครับ จบละครับ

MASI มาแล้วครับ !!!

MASI มาแล้วครับ มาครบทุกรุ่นเลย ชมตัวจริงได้ที่ร้านเลยครับ !!!
รุ่นที่เข้า
FIXED UNO
FIXED FLAT
FIXED LTD
FIXED ULTIMATE

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

เฟรมจักรยาน ทำจากอะไร วัสดุไหนดี???

ดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องว่าจะเลือกเฟรมที่ทำจากวัสดุใดดีนั้น ดูช่างจะเป็นปัญหาระดับclassicจริงๆ ตั้งใจว่าจะรวบรวมลงใน"นานาสาระ"มาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีเวลาเป็นเรื่องเป็นราวเสียทีนะ

โครโมลีราคาไม่เกิน13000 บาท ก็คงจัดอยู่ในระดับ"ปานกลาง" คุณสมบัติอย่างหนึ่งสำหรับโครโมลีในวงเงินเท่านี้ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า"น้ำหนักพอสมควร" คุณสมบัติทั่วไปของโครโมลี่ คือ สามารถซับแรงกระแทกกระเทือนที่กระทำต่อรถได้ดีกว่าวัสดุอื่นๆ มีความสามารถในการให้ตัวหรือ flexibleได้ มีความทนทานต่อการใช้งานเป็นเยี่ยม มีโอกาสเกิดสนิมได้บ้างถ้าใช้แบบทิ้งๆขว้างๆไม่เหลียวไม่แลไม่ล้างไม่รู้จักการใช้WD-40พ่นล้างในท่อ เป็นต้น

ในขณะที่อลูมิเนียม มีค่าStrenght to weight ratio สูงมาก จึงสามารถทำเฟรมที่เบาแต่ยังคงความแข็งแรงไว้ได้ ข้อเสียของอลูมิเนียมก็คงหนีไม่พ้นความกระด้างเพราะว่าขาดความสามารถในการซับแรง แต่ที่เหนืออื่นใดเฟรมอลูมิเนียมจะstiff สุดๆ แทบจะไม่มีอาการflexเลย ดังนั้นจักรยานที่ทำจากอลูมิเนียมจะพุ่งกว่าวัสดุอื่นๆที่มีgeometryในแบบเดียวกัน

เลือกอลูมิเนียมเพราะว่าความพุ่ง โดยไม่แคร์เรื่องกระด้าง แต่เลือกโครโมลีเพราะว่าความนุ่มนวลในการใช้งานโดยไม่แคร์เรื่องน้ำหนักและโอกาสเกิดสนิม

1. ว่ากันด้วยน้ำหนักของเฟรมจักรยานแบบhardtail (ไม่มีชอคหลัง)อาจจะเบาตั้งแต่1.2กก. ขึ้นไปจนถึง 2.2 กก. อาจจะมีคนถามว่านน.แค่2กก.นี่หนักเชียวหรือ? ผมก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนักหรอกครับ เอาเป็นว่าหนักพอสมควรก็แล้วกัน เฟรมที่ทำมาจากโครโมลี่ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คงต้องเรียกว่าSteel alloyถึงจะถูกความหมายที่สุด อาจจะมีนน.ตั้งแต่ 1.5กกแก่ๆ จนไปถึง2กก.เศษๆได้ แต่ยิ่งเบาก็ยิ่งแพง เอาเป็นว่าในวงเงินขนาดนี้คงได้แค่นน.พอสมควรก็แล้วกันนะครับ พูดอย่างเป็นกลางก็แล้วกันนะครับ อย่าตีความมากมายนัก เพราะว่านน.รวมของจักรยานนั้นยังมาจากส่วนประกอบอีกเยอะแยะครับ

2. แน่นอนครับ โครโมลี่หรือsteel alloy มีส่วนผสมของเหล็กเป็นหลักอยู่แล้ว( เป็นส่วนใหญ่เลยแหละครับ ) แต่เจือโลหะชนิดอื่นๆลงไปเพื่อเสริมความแข็งแรง ทำให้เกิดความยืดหยุ่น ลดโอกาสการเกิดสนิม และ อื่นๆ การใช้WD-40 ซึ่งเป็นน้ำยาครอบจักรวาลทั้งหล่อลื่น ทั้งป้องกันสนิม ทั้งเคลือบผิว(แบบบางๆ เพื่อป้องกันความชื้น) ซึ่งสามารถพ่นเข้าไปด้านในของท่อต่างๆได้ ( ถ้าผู้ใช้พิถีพิถัน เหมือนใครบางคนหว่า? คงเหมือนผมมั๊ง ) ส่วนเรื่องการป้องกันสนิมแบบรถยนต์คงทำไม่ได้หรอกครับ ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีใครเขาทำกัน แต่มันไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะว่าจริงๆแล้วโครโมลี่ไม่ใช่ว่าจะเป็นสนิมกันง่ายๆ ยกเว้นว่าจะเอาไปแช่น้ำทะเล อันนี้รับรองว่าเป็นแหงๆ นอกนั้นก็แทบจะไม่เป็นกันง่ายๆเลย ขนาดล้างรถน้ำเข้าไปในท่อต่างๆ แล้วเอาWD-40 พ่นไล่น้ำอีกที ก็ไม่เคยพบสนิมครับ

3.ความสามารถในการให้ตัว คงเป็นคำพูดให้ฟังง่ายๆครับ จริงแล้วโลหะจะมีคุณสมบัติสำคัญๆได้แก่ Flexible หรือ ให้ตัวได้ คือ โลหะจะสามารถเปลี่ยนรูปได้เมื่อได้รับแรงมากระทำ แต่เมื่อหมดแรงที่มากระทำนั้น โลหะนั้นก็จะกลับมาคืนรูปเดิม ซึ่งคำว่าFlexibleจะตรงกันข้ามกับคำว่าStiff ซึ่งคำว่าstiffนี้จะให้ความหมายที่ตรงกันข้ามกัน
ส่วนคำว่า"ซับแรง"หรือResilence จะหมายถึงว่าเมื่อมีแรงมากระทำต่อโลหะนั้น โลหะจะรับแรงหรือพลังงานนั้นในลักษณะของการดูดซับหรือซึมซับพลังงานหรือแรงนั้น โดยที่โลหะนั้นไม่ได้เปลี่ยนรูปไป โลหะที่มีความresilenceมากเมื่อเอามาทำเป็นท่อจักรยาน ก็จะให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลเวลาขับขี่ผ่านที่ขรุขระหรือทุรกันดารมากๆ ผิดกับโลหะที่ไม่สามารถซับแรงได้อย่างอลูมิเนียมก็จะให้ความรู้สึกที่แข็งกระด้างหรือที่เรียกว่าrigid
ส่วนคำว่าstrength to weight ratio คืออัตราส่วนในการเปรียบเทียบความแข็งแรงของวัสดุที่มีน้ำหนักเท่าๆกัน โดยทั่วไปแล้วเรามักจะรู้จักแต่เพียงความแข็งแรงเท่านั้น ความแข็งแรงหรือstrenght ซึ่งสำหรับโลหะจะพูดกัน 2 คำคือคำว่า Yeild strenght ซึ่งหมายถึงแรงที่ทำให้วัสดุนั้นเริ่มเปลี่ยนรูป หรืองอ แต่เมื่อหยุดแรงกระทำลง วัสดุก็จะกลับคืนรูปเดิม ส่วนอีกคำคือคำว่า Ultimate tensile strenght ซึ่งจะหมายถึงแรงที่ทำให้วัสดุนั้นเปลี่ยนรูปจนกระทั่งหักหรืองอไม่คืนรูปเดิม การวัดyeild strenght หรือ Ultimate tensile strenghtจะวัดเปรียบเทียบกับโลหะที่มีสัดส่วนเหมือนๆกัน ( แต่น้ำหนักจะไม่เท่ากัน ) ดังนั้นถ้าเราเอามาเปรียบเทียบกันที่น้ำหนักเท่าๆกัน ก็จะได้เป็นสัดส่วนดังกล่าว

ส่วนเรื่องความสามารถในการควบคุมนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูดมาซะยืดยาวนี้เท่าไรนักหรอกครับ มันจะเกี่ยวข้องกับgeometryหรือมุมต่างๆของรถมากกว่า รวมไปถึงความสามารถในการบังคับของคนขับเองนั่นแหละ

4. ส่วนคำว่า"พุ่ง"นั้น อาจจะเข้าใจยากสักนิดหนึ่ง เอาเป็นว่าจักรยาน 2 คันออกแรงเหยีบบันไดพร้อมๆกัน คันไหนออกตัวไปได้ก่อนกัน ก็น่าจะเรียกรวมๆว่าพุ่งกว่าได้ ก็คงไม่ผิดนัก

เฟรมที่ทำจากโลหะที่ไม่ซับแรง และstiff สุดๆ เช่นอลูมิเนียม เมื่อเราเหยียบบันไดลงไป แรงทั้งหมดแทบจะส่งผ่านโซ่ไปฉุดล้อหลังให้หมุนได้ในทันทีทันควัน ในขณะที่เฟรมที่ทำมาจากโลหะที่ซับแรงหรือflexibleเมื่อเราออกแรงเหยียบบันได แรงจะไปทำให้ตัวเฟรมมีอาการบิด(อาจจะเพียงเล็กน้อยซึ่งสังเกตไม่เห็น แต่ก็บิด) ทำให้แรงที่ส่งไปยังโซ่และไปฉุดล้อหลังลดลง จนกระทั่งทุกสิ่งเข้าสู่สมดุล แรงทั้งหมดจึงจะส่งไปยังล้อหลังได้ แค่นี้คงพอจะเข้าใจนะครับ
ความสามารถในการซับแรง ( resilence ) กับคำว่า " Fatique endurance " นั้นคนละกรณีกันอย่างสิ้นเชิงครับ โลหะที่ซับแรงได้ไม่ได้หมายถึงว่าสะสมแรงไว้นะครับ

คำว่า fatique endurance นั้นหมายถึงความสามารถที่วัสดุนั้นๆจะสามารถทนทานต่อการล้าตัวเมื่อได้รับแรงกระทำในลักษณะซ้ำๆกัน เช่นถ้าเราหักช้อนไปมาๆๆๆๆ มันก็จะหักจากกัน อันนี้หมายถึงว่าโลหะนั้นล้าตัวจนเกิดความเสียหายหรือที่เรียกว่าเกิด Fatique failure

Steel alloy มีความสามารถในการซับแรงได้มากกว่า 3Al-2.5V Titanium alloy แต่Steel alloy กลับมีค่าFatique endurance น้อยกว่า 3Al-2.5VTitanium alloy
ส่วน Aluminum alloy ซึ่งแทบจะไม่มีความสามารถในการซับแรงเลย กลับไม่มีFatique endurance

เราอาจจะไม่เห็นเฟรมจักรยานแตกหรือหักได้บ่อยนัก แต่จุดอ่อนที่สุดของเฟรมจักรยานก็คือบริเวณรอยเชื่อม ซึ่งเป็นจุดที่อ่อนแอ ทนแรงเค้นได้น้อยกว่าบริเวณท่อ และบริเวณอื่นๆ เฟรมอลูมิเนียมที่ถูกใช้งานอย่างโหดๆ จะรับใช้เราได้ประมาณ 3-5 ปี ก่อนที่จะเริ่มปรากฏรอยร้าวที่บริเวณรอยเชื่อม โดยเฉพาะบริเวณท่อนั่ง รอยร้าวจะปรากฏขึ้นโดยไม่มีอาการเตือนแต่อย่างใด

เฟรมไททาเนียมที่ทำจาก 6Al-4V Titanium alloy ซึ่งไม่สามารถรีดเป็นท่อที่ไร้ตะเข็บ (seemless tube)ได้ แต่จะต้องรีดเป็นแผ่นแล้วม้วนเป็นท่อแล้วเชื่อมรอยต่อนั้นเกิดเป็นตะเข็บ บริเวณตะเข็บนี้จะเป็นจุดที่ต้องรับแรงเค้นและไม่สามารถทนต่อการกระทำซ้ำๆซากๆได้เมื่อเทียบกับบริเวณอื่น เคยมีรายงานว่าพบรอยร้าวของท่อ 6Al-4V Titanium alloy ตามบริเวณตะเข็บดังกล่าวในเฟรมที่ใช้งานหนักๆเช่นกัน

เช่นกันครับ เฟรมที่ทำมาจากSteel alloy ก็พังจากการใช้งานได้เช่นกัน ได้ฟังผู้ที่คร่ำหวอดในวงการเล่าว่า สุรจิตต์เคยใช้เฟรมVoodooที่ทำมาจากเหล็กReynolds ไม่ทราบว่าเบอร์ไหน แต่เล็กก็ใช้จนกระทั่งท่อบนเกิดรอยร้าวแล้วก็แตกในเวลาต่อมา

หรือแม้แต่พวกCarbon fiberก็เสียหายจากการใช้งานหนักๆได้เช่นกัน โดยจะเกิดการแยกชั้น(delamination)ระหว่างเส้นใยที่ถักทอกัน ซึ่งเกิดจากการล้าตัวของกาวที่ประสานกัน

สรุปว่าไม่มีอะไรที่คงกระพันชาตรี หรือ พูดง่ายว่า อนิจจัง คือ ความนิจจัง

ส่วนเรื่องรอยเชื่อมที่ราบเรียบ กับไม่เรียบนั้น แตกต่างกันที่งานฝีมือในการขัดแต่งรอยเชื่อม หรือ งานสีครับ แน่นอนค่าแรงแพงขึ้นอีก แต่เรื่องความแข็งแรงไม่ได้มีผลอะไรมากมายนัก นอกจากความสวยงาม

การเชื่อมก็มีผลอย่างมากต่อเรื่องของความแข็งแรง บางครั้งอาจจะมีการเสริมแผ่นรองบริเวณท่อคอ(head tube) เทคนิคที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือ TIG (Tungsten inert gas) welding ซึ่งจะใช้วิธีการพ่นInert gas เช่นพวกargon ลงไปที่ผิวของงานในระหว่างการเชื่อม เพื่อป้องกันออกซิเจนมาทำปฏิกิริยาเกิดเป็นออกไซด์ ซึ่งลดทอนความแข็งแรงในเวลาต่อมา สำหรับMonocoque หรือหล่อเป็นชิ้นเดียวกันนั้น มีการทำเช่นกัน แต่มักทำกับพวกcarbon fiberมากกว่าครับ ( เท่าที่ตามข่าวมา มีการทำเฟรมในลักษณะmonocoque กับMagnesium alloy เช่นกัน ) นอกจากวิธีการเชื่อมแบบนี้แล้ว ก็อาจจะใช้การเชื่อมแบบBraze ร่วมกับlug ( เป็นปลอกสวมแล้วเชื่อม ) ซึ่งให้ความแข็งแรงมากเช่นกัน หรือบางยี่ห้อโดยเฉพาะรุ่นเก่าๆอาจจะใช้วิธีการสวมปลอกอัดกาวepoxy ก็มีครับ

สีที่พ่นลงเฟรมอลูมิเนียม กับเฟรมเหล็ก นั้นแตกต่างกัน อลูมิเนียมไม่ค่อยจะติดสีครับ ต้องใช้วิธีพิเศษกว่า แพงกว่าครับ ส่วนเฟรมไททาเนียมไม่ค่อยนิยมทาสี เพราะว่าสีไม่ค่อยติดครับ ทำยังไงๆ สุดท้ายก็ร่อนหลุด
1 titaniumที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะใช้ในรูปของalloyหรือโลหะผสม เพราะว่าtitaniumแท้ๆไม่แข็งแรงพอ
3Al-2.5V titanium alloy เป็นโลหะผสมระหว่าง aluminium 3% + Vanadium 2.5% และ Titanium 94.5 %
6Al-4V titanium alloy เป็นโลหะผสมระหว่าง aluminium 6% + Vanadium 4% และ Titanium 90 % ซึ่งจะมีความแข็งแรงมากกว่า 3-2.5 Ti การที่จะนำมารีดเป็นท่อที่ไม่มีตะเข็บจึงเป็นไปได้ยาก จึงต้องใช้วิธีรีดเป็นแผ่นแล้วม้วนเชื่อมตะเข็บเป็นท่อกลม หรือไม่ก็หล่อเป็นชิ้น

ส่วนเหล็กReynoldsเป็นชื่อของsteel alloyตัวหนึ่ง ลองเข้าไปอ่านใน"เดินท่องเวป" แล้วเลือกไปที่ "tube builder"แล้วเลือกไปที่ Reynoldsนะครับ จะเข้าใจอะไรต่อมิอะไรได้อีกมากเลยทีเดียว

2. เฟรมหัก หรือร้าว ทิ้งสถานเดียวครับ ไม่คุ้มที่จะซ่อมเพราะว่าซ่อมแล้วมันก็ไม่แข็งแรงเท่าเดิม

3. ในกรณีเฟรมงอ บุบ ถ้าเป็นเฟรมที่ทำมาจากSteel alloy หรือ ไททาเนียม ยังพอสามารถที่ซ่อมคืนรูปแล้วเอากลับมาใช้ได้อย่างเดิม แต่ถ้าเป็นAluminum alloy โอกาสที่จะซ่อมนั้นเป็นไปได้ยาก การดัดให้กลับมาเป็นรูปเดิมอาจจะทำให้บริเวณนั้นสูญเสียความแข็งแรงจนเกิดFatique failureได้

4. เรื่องการเชื่อม ในยุคนี้จักรยานที่ทำจากอลูมิเนียม หรือ ไททาเนียม แม้กระทั่งโครโมลี่ จะใช้TIG weldingแทบจะทั้งหมด เพราะว่าทำได้ง่ายและสะดวก อีกทั้งยังรักษาความแข็งแรงไว้ได้ คงมีแต่เฟรมบางยี่ห้อที่ทำจากsteel alloy ที่ใช้การเชื่อมแบบbrazing ร่วมกับการสวมlug

5. ลองอ่านดูในกระทู้เก่าๆดูครับ จะมีบางกระทู้พูดถึงองศาต่างๆเอาไว้ ที่คุณเข้าใจมานับว่าถูกต้องแล้วครับ

6. เรื่องของสี พ่นทับได้ครับ เรื่องไม่สวยก็คงต้องทำใจ

บทความต่อไปนี้คัดลอกมาจาก จุลสารรายเดือน โปรไบค์อัพเดท ฉบับบเดือนพฤษภาคม 2543


ทุกวันนี้อะลูมินั่มเป็นวัสดุที่นิยมใช้สร้างตัวถังจักรยานเนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นมากมายอีกทั้งมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตอย่างรวดเร็วจึงไม่แปลกถ้าจะบอกว่าอลูมินั่มคือตัวแทนของจักรยานในโลกปี 2000
อลูมินั่มที่ใช้ทำตัวถังรถมิใช่เป็นอลูมินั่มบริสุทธิ์ เป็นอลูมินั่มผสมเพื่อให้ได้คุณสมบัติอย่างที่ต้องการ สิ่งที่พวกเรารู้คือรหัสร้อนๆ ที่เห็นติดตัวถังรถจักรยานทั้งหลาย ว่ารหัสนั้นมันบ่งบอกคุณสมบัติอะไรบ้างซึ่งเป็นสิ่งที่คนรักจักรยานทั้งหลายควรรู้เป็นอย่างยิ่ง
สมาคมอะลูมินั่มแห่งสหรัฐฯ ได้จัดทำมาตรฐานและกำหนดชื่อของอะลูมินั่มผสมไว้เป็นหมวดหมู่ ตั้งแต่ปี 1954 โดยใช้ชุดตัวเลข 4 ตัว ในกลุ่มอัลลอยรหัส 2xxx ถึง 7xxx รหัสตัวเลขสองหลักหลังจะแสดงถึงอัลลอยที่แตกต่างกันในกลุ่มเดียวกัน ในขณะที่อัลลอยใหม่ๆ ได้ถูกแนะนำเข้าสู่ตลาดเรื่อยๆ ตัวอย่างที่เห็นได้คือ 6061 6013 2015 7005 7075 รหัสตัวเลขหลักที่ 2 จะแสดงถึงเปอร์เซ็นของธาตุสำคัญที่เติมลงไปเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของอะลูมินั่มดั้งเดิมและแสดงเป็นตัวเลข 1-9 หากเป็นเลข 0 แสดงว่าตั้งแต่มีการพัฒนามาไม่เคยมีการดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลง **อย่าเข้าใจผิดว่าตัวเลขมากกว่าหมายถึงว่าอัลลอยนั้นๆ แข็งแรงกว่าหรือมีความต้านทานต่อการสึกกร่อนมากกว่า** บางกรณีอาจจะจริงแต่การนำอัลลอยมาใช้งานมิใช่เป็นเพียงการนำมาใช้เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรก่อนใช้งาน วิธีการอบคลายเครียดที่ต่างๆ กันไปจะทำให้อัลลอยแต่ละตัวมีความแข็งแรงแตกต่างกันไปด้วย อะลูมินั่มเป็นวัสดุที่ใช้กันมานานในอุตสาหกรรมการบิน เป็นที่ทราบกันว่าอะลูมินั่มมีน้ำหนักเบาและอ่อนกว่าเหล็ก ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้อะลูมินั่มแข็งแกร่งพอที่จะทำลำตัวเครื่องบินได้จะต้องทำให้เป็นอัลลอย โดยผสมสารโลหะ
ชนิดอื่นๆ เข้าไปในอัตราส่วนที่ทำให้อัลลอยมีคุณสมบัติที่ดีขึ้น อัลลอยชนิดต่างๆ ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้ในงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ง่ายต่อการจำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานได้กำหนดรหัสเป็นตัวเลข 4 หลักเพื่อให้ผู้ที่ทำงานสามารถสังเกตุได้ว่าอะลูมินั่มอัลลอยนั้นๆ เป็นประเภทไหนและมีส่วนผสมหลักเป็นอะไร

(ตารางแสดงกลุ่มของอัลลอย)
1xxx อะลูมินั่มอัลลอยที่บริสุทธิ์ 99%
2xxx อะลูมินั่มอัลลอยที่มีส่วนผสมพื้นฐานของทองแดงเป็นหลัก เพื่อให้เกิดความแข็งแรง แต่มีผลทำให้ความต้านทานต่อการสึกกร่อนต่ำลง
3xxx อะลูมินั่มอัลลอยที่มีส่วนผสมพื้นฐานของแมงกานีสเพื่อให้มีความแข็งแรงเล็กน้อย
4xxx อะลูมินั่มอัลลอยที่มีส่วนผสมพื้นฐานของซิลิคอน เพื่อลดจุดหลอมเหลวให้ต่ำลงเพื่อประโยชน์ในการหล่อ
5xxx อะลูมินั่มอัลลอยที่มีส่วนผสมพื้นฐานของแมกนีเซียมเพื่อให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น
6xxx อะลูมินั่มอัลลอยที่มีส่วนผสมพื้นฐานของแมกนีเซียมและซิลิคอนเพื่อให้เกิดความแข็งแรง
7xxx อะลูมินั่มอัลลอยที่มีส่วนผสมพื้นฐานของสังกะสีเพื่อให้มีความแข็งแรงสูง
8xxx ใช้ระบุอัลลอยที่มีส่วนผสมพื้นฐานแตกต่างจากที่กล่าวมาแล้วทั้ง 7 ชนิด
9xxx อัลลอยที่ยังไม่มีการใช้งานอย่างเป็นทางการในอุตสาหกรรม แต่ในระหว่างช่วงสงครามเย็น คาดว่าจะถูกพัฒนาเพื่อใช้งานทางทหารอย่างลับๆ

บทความข้างบนนี้ นำมาจาก ThaiMTB.com ขอขอบคุณครับ

ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อจักรยาน BMX

ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อจักรยาน BMX เราควรทำความรู้จักส่วนต่าง ๆ ของจักรยาน BMX กันก่อน
          อย่างแรกคือ เฟรม (Fram) ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเลือกใช้เฟรมที่ทำมากจา Aluminun ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโลหะ 6061 และ 7005 หรือ Cro-Moly 100 %, Titanium และ Carbon Fiber

วัสดุแต่ละอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียดังต่อไปนี้

Aluminum
    -
ข้อดี คือ มีน้ำหนักเบาและมีความรู้สึกแข็งแรง
    - ข้อเสีย คือ Aluminum จะมีเนื้อที่แข็งกระด้างจะให้ความรู้สึกไม่นุ่มนวล


Cro-Moly
     -
ข้อดี คือ มีความแข็งแรงทำให้มีความนุ่มนวล
     - ข้อเสีย คือ มีความนุ่มนวลมากเกินไปซึ่งจะทำให้สูญเสียการทำความเร็ว แต่สำหรับ ผู้ที่ชื่นชอบความนุ่มนวลก็สามารถเลือกใช้ได้


Titanium
     -
ข้อดี คือ มีความแข็งแรงมากและมีน้ำหนักเบา
     - ข้อเสีย คือ เนื้อ Titanium จะให้ความรู้สึกที่แข็งกระด้างเกินไป ซึ่งใน BMX นั้นจะไม่นิยมใช้เฟรมชนิดนี้ เพราะเฟรมส่วนใหญ่เมื่อใช้แล้วจะมีรอยแตกร้าวบริเวณรอยเชื่อมต่าง ๆ


Carbon Fiber
     -
ข้อดี คือ มีน้ำหนักเบา
    - ข้อเสีย คือ มีอายุการใช้งานไม่นานเปราะบาง สำหรับเฟรม Carbon ใน BMX Racing ยังไม่ค่อยนิยมใช้กันเท่าไรนัก
     - การเลือกซื้อตัวถังนั้นเราจะดูจากจุด Top Tube โดยวัดจากเส้นผ่าจุดศูนย์กลาง ระหว่างท่อหลักอานและเส้นผ่าศูนย์กลางของถ้วยคอ


การเลือกซื้ออุปกรณ์จักรยานประเภท BMX Racing
1. ปลอกแฮนด์ (Grips)
          อย่างแรกคือปลอดแฮนด์ ปัจจุบันปลอดแฮนด์มีหลายยี่ห้อให้คุณได้เลือกใช้แต่ที่นิยมกันมากคือปลอดแฮนด์ที่มีความนุ่มนวลเพื่อลดแรงกระแทกจากพื้นถนนที่ไม่เรียบ และขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าชอบลักษณะแบบไหน แต่ปลอดแฮนด์หลัก ๆ มีให้เลือกอยู่ 2 แบบ คือแบบที่มีน็อตใช้ล็อคได้ กับแบบสวมเข้าไปโดยที่ไม่มีน๊อคล็อค
2. แฮนด์ (Handle Bar)
          ในปัจจุบันเนื้อโลหะของแฮนด์จักรยานประเภท BMX Racing นั้นมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน 1. Aluminum 2. Cro-Moly 100 % 3. Carbon Fiber
         2.1 Aluminum
มีน้ำหนักเบาราคาไม่แพง แต่บ้านเราของหายากไปหน่อย
         2.2 Cro-Moly 100 % ซับแรงกระแทกเวลากระโดดเนินได้ดี แข็งแรงทนทานอายุการใช้งานยาว
         2.3 Carbon Fiber มีน้ำหนักเบา ส่วนใหญ่จะเป็นแฮนด์สำหรับเด็กที่มมีอายุต่ำกว่า 12 ปี
สำหรับการเลือกขนาดของแฮนด์ให้เข้ากับตัวเองควรใช้แฮนด์ที่กว้างเพราะจะควบคุมจักรยานได้ง่ายขึ้น
3. สเต็ม (Stem) หรือคอจับแฮนด์
          จะมีขนาดหน้าจับแฮนด์กว้างกว่าสเต็มของจักรยาน BMX ประเภท สตรีทปาร์ค แต่ส่วนใหญ่จะใช้สเต็มของรถสตรีทปาร์คเนื่องจากมีน้ำหนักเบาและแข็งแรงจึงไม่จำเป็นที่ต้องใช้สเต็มของจักรยานประเภท BMX Racing โดยตรง แต่ส่วนใหญ่สเต็มของ BMX Racing นั้นจะมีขนาดให้เลือกอยู่มาก แต่ในการแข่งขันส่วนใหญ่จะใช้สเต็มที่มีขนาด 30-55 ม.ม.
4. จุกปิดปลายแฮนด์ (End Grip)
           เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยเราลดอันตรายเวลาเกิดอุบัติเหตุไม่ให้ปลายแฮนด์เสียบไปในร่างกายของเราและเพื่อลดการบาดเจ็บ เอ็นกริ๊บมีให้เลือกหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพลาสติก หรืออะลูมิเนียม
5. เบรก (Brakes) เบรคของจักรยานประเภท BMX Racing นั้นมี 2 แบบ
          แบบที่ 1 วีเบรค (V-BRAKE) ส่วนมากจะนิยมใช้กันในประเภทรถครอสคันทรี่และ BMX Racing
         
แบบที่ 2 ยูเบรค (U-BRAKE) บ้านเราเรียกว่าเบรกก้ามปู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวถัง BMX ว่าออกแบบมาให้ใช้กับเบรกชนิดไหน แต่ส่วนมาก BMX Racing นิยมใช้แบบ V-BRAKE กันหมดแล้ว เพราะว่า V-BRAKE ใช้ Aluminum และ Tianium ในการผลิตทำให้มีน้ำหนักเบา
6. ขาจาน (Cranks)
          สำหรับรถจักรยานประเภท BMX Racing นั้นจะต้องมีความแข็งแรงและทนต่อแรงกระแทกอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเวลากระโดดลงสู่พื้น หรือเวลาเกิดอุบัติเหตุ ขาจานของ BMX Racing จะมีอยู่ 3 แบบคือ Aluminum, Cro-moly และ Carbon Fiber ถ้าต้องการจะเลือกซื้อขอแนะนำว่าควรเลือกขาจานที่ทำมาจาก Aluminun เพราะว่า ขาจาน Aluminum จะมีความแข็งแรงมาก และมีความทนทาน เห็นได้จากผู้เข้าแข่งขันในรายการชิงแชมปโลกสนามต่าง ๆ จะนิยมใช้ Shimano DXR เป็นจำนวนมาก และขาจานจะมีความยาวไม่เท่ากัน โดยจะมีความยาวตั้งแต่ 150-180 ซ.ม. ในการเลือกขนาดให้เข้ากับตัวเรานั้น จะวัดความยาวของขาเราเป็นหลัก
7. ตะเกียบ (Fork) BMX Racing มีอยู่ 3 ชนิด
          7.1 Aluminum มีความแข็งแรงทนทาน แต่มีน้ำหนักมาก
          7.2 Cro-Moly แข็งแรงมีอายุกานใช้งานที่ยาวนาน เบาพอประมาณ แต่มีความกระด้างสูง
          7.3 Carbon Fiber ง่ายต่อการควบคุม แข็งแรง มีน้ำหนักเบากว่าตะเกียบทุกชนิด ทำให้มีคามรู้สึกนุ่มนวล ไม่กระด้าง และเป็นตะเกียบที่นักแข่งนิยมใช้มากที่สุด
8. กะโหลก (Bottom Bracket) ปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ
          8.1 กระโหลกแบบ Euro size BB ซึ่งกะโหลกแบบ BB จะมีความนิยมมากกว่าเพราะมีขนาดที่เล็กและน้ำหนักเบา
          8.2 กะโหลก แบบ American หรือ U.S.size BB ปัจจุบันยังมีความนิยมน้อยกว่าแบบแรก เพราะขนาดที่ใหญ่มีน้ำหนักมาก
9. บันไดจักรยาน (Pedals) มีอยู่ 2 แบบ
          9.1 แบบบันไดธรรมดา (Platform)
          9.2
แบบบันไดที่มีคลิ๊บ (Clipless)

บันไดที่เหมาะสำหรับใช้แข่งขันจะเป็นบันไดคลิ๊บมากกว่าเพราะว่าเวลาปั่นสามารถทำความเร็วและเท้าจะได้ไม่หลุดจากบันได ส่วนบันไดธรรมดาจะไม่เหมาะ สำหรับใช้ในการแข่งขันเนื่องจากทำความเร็วได้ไม่เต็มที่
10. ใบจาน (Sprocket, Chain Wheel)
          สำหรับ BMX Racing จะใช้ใบจานที่มี 43-44 ฟัน และโซ่เฟืองหลังตั้งแต่ 14-16 ฟัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแรงปั่นของเรา โดยสามารถทำการทดสอบในระยะทาง 60 เมตรโดยใช้ 44,16 ทำการจับเวลา และลองใช้ 44,15 จับเวลาดูอีกครั้งแล้วลองดูว่าแบบไหนดีกว่า
           ในการคำนวณอัตราทดนั้น ให้เอาใบจานหน้าหารกับเฟืองหลัง เช่น 44 หาร 16= 2.75 และ 44 หาร 15 =2.93 การคำนวณเช่นนี้ทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าการทด 44,15 จะหนักกว่าการใช้ใบจาน 44,16 เฟือง โดยส่วนมากจะเลือกใช้ใบจาน 44 ,16 เฟือง ครับ
11. ล้อ BMX Racing
          ส่วนใหญ่จะใช้วัสดุที่ทำจาก Aluminum ในการเลือกซื้อนั้นควรจะเลือกที่มีความแข็งแรงจะมีล้อ 2 ชั้นและ3 ชั้น ล้อจะมีซี่ลวด 36-48 ซี่ และในจักรยานประเภท BMX Racing ส่วนใหญ่จะมี 36 ซี่
12. ยาง สำหรับ BMX Racing
         
ยาง BMX Racing นั้นจะต้องเป็นยางที่มีดอกยางแบบวิบาก ยางจะมีขนาดหน้ากว้างตั้งแต่ 1.75-2.15 นิ้ว ในการแข่งขันนั้นจะใช้ยางหน้าใหญ่กว่ายางหลัง เพราะในเวลาปั่น น้ำหนักตัวจะกดลงไปที่ล้อหน้ามากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาเข้าโค้ง หรือตอนลงจากเนิน ฉะนั้นยางหน้าจึงต้องใหญ่เพื่อจะได้ยึดเกาะถนนได้ดี ส่วนล้อหลังที่ต้องมีขนาดเล็กกว่าเพราะช่วยลดแรงเสียดทางกับถนน จะได้ทำความเร็วขึ้น ส่วนดอกยางนั้นก็มีให้เลือกอยู่มากมาย แต่การเลือกใช้ยางนั้นต้องขึ้นอยู่กับสนามต่าง ๆ เช่น สนามที่เปียกก็ควรใช้ยางที่มีดอกสูง และสนามไหนที่มีความเรียบแห้งก็ควรใช้ยางที่มีดอกน้อย
         
สุดท้ายนี้ในการเลือกซื้อจักรยานประเภท BMX Racing ให้เหมาะสมกับร่างกายของคุณ ลองศึกษาดูว่าตัวคุณชอบแบบไหน สีอะไร พอใจกับราคาหรือเปล่า...

ขอขอบคุณเนื้อหาจากWEB ThaiBmx ครับ